วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Lost in Beijing ตะลุยจีน-ปักกิ่ง แผ่นดินใหญ่ วันที่2 เป็ดปักกิ่ง (Roast Duck)

10:48 Posted by Lotuzkai No comments

มื้อเที่ยงวันนี้ เป็รภัตรคารอาหารจีนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง โดยร้านอาหารนี้ขึ้นชื่อเรื่องเป็ดปักกิ่งมาก เมื่อเข้าไปภายในร้าน บอกได้เลยว่าคนเยอะมาก เต็มทุกโต๊ะเลย แต่ทางเราไกด์ได้จัดการจองห้องส่วนตัวไว้เรียบร้อยแล้ว


เข้าห้องไปเป็นโต๊ะกลมใหญ่เต็มห้อง นั่งรอบโต๊ะ และทางไกด์ได้สั่งอาหารรอพวกเราไว้เรียร้อแล้ว ด้วยความหิวก็จัดการอย่างรวดเร็วจนลืมถ่ายภาพเลย แต่อาหารที่นี่ถือว่าถูกปากระดับหนึ่งรสชาติใช้ได้เลย



มาถึงทีเด็ดของร้านนี้ก็มาถึงคือเป็ดปักกิ่ง โดยเป็นที่นี่ได้รับการรับรองมาอย่างดีแถมมีใบประกาศนียบัตร มีรหัส Serial number ของเป้ดตัวนี้มาเรียบร้อย แสดงว่าที่นี่เป็ดปักกิ่งของจริงอย่างแน่นอน



เป็ดปักกิ่งจะมาพร้อมกับ พ่อครัวของร้าน มาแล่เป็ดให้เราดูกันสดๆเลย โดยจะเริ่มจากแล่ตรงส่วนที่อร่อยของเป็ดปักกิ่งเลย ซึ่งมีอยู่ไม่กี่ชิ้น โดยจะเป็นหนังล้วนๆ



เมื่อได้มาก็เริ่มชิมตรงส่วนนี้กันเลย โดยกินกับแป้งคล้ายๆโรตีกับปอเปี๊ยะผสมกันนุ่มๆแข็งๆ พร้อมแตงกวา น้ำซอส กันน้ำตาล แล้วทำการห่อพอดีคำและรับประทาน รสชาตินี่บอกได้เลยครับอร่อยมาก ต่างกับเป็ดปักกิ่งที่ไทยมาก ทั้งน้ำซอสและหนังเป็ด




เท่านั้นไม่พอ ไหนๆเขาบอกว่าเป็๋นส่วนที่อร่อยของเป็ดละ ก็กินเปล่าๆสะเลย บอกได้เลยว่า หอม หวานและละลายในปากทันที ถือว่าเป็นส่วนที่อร่อยจริงๆ ระหว่างที่เรากินส่วนที่อร่อยที่สุดของเป็ดปักกิ่ง พ่อครัวก็ทำการแล่เป็ดเป็นชิ้นๆทั้งตัวจนเสร็จ ออกมาเสริฟให้กินอีกจนกินกันไม่หมดเลยทีเดียว



สิ่งที่ขาดไม่ได้กับการกินเป็ดปักกิ้ง ก็ต้องมีสุรา ซึ่งของจีนที่มีชื่อเสียงเลยคือ เหมาไถ จากการสอบถามราคามาตีเป็นเงินไทยแล้ว เกือบหมื่น โอ้วหวานปากหละทีนี้



 เมื่อรินใส่แก้วมา ลักษณะนั้นเหมือนกับเหล้าขาวบ้านเรา ใสๆกลิ่นแปลกๆไปทางด้านหอมมากกว่า รอบโต๊ะเอ้าชนน หมดแก้ว ร้อนผ่าว ตั้งแต่ลำคอยันลำไส้ รสชาติเหมือนเหล้าขาว แต่ความแรงนี่ 52% แรงมาก โดนไป 3 ช็อทถึงกับมึนเลยทีเดียว


จบมื้อนี้ด้วยความประทับใจ อาหารและสุรา แถมด้วยความมึน เตรียมเดินทางไปสนาที่เที่ยวต่อไปในช่วงบ่าย



วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Lost in Beijing ตะลุยจีน-ปักกิ่ง แผ่นดินใหญ่ วันแรก Part 3 ตลาด หวังฟูจิง

11:13 Posted by Lotuzkai No comments
มาถึง Part สุดท้ายของวันแรกนะครับ วันแรกคงเยอะหน่อยเพราะเกิดเหตุการณ์อะไรหลายอย่าง และเที่ยวมันเต็มที่จนลืมเหนื่อนกันไปเลย เมื่อเราได้เก็บของที่โรงแรมเรียบร้อย ก็ทำการ หาข้าวเย็น ซึ่งมื้อเย็นวันแรกก็ไป Hot Pot แบบชาวจีน ครับ พอดีรูปได้ถ่ายมานิดเดียวเพราะ ความหิวรวมทั้งคนเยอะมากๆทำให้ถ่ายรูปไม่ได้เท่าไร


จุดเด่นของร้านนี้คือน้ำซุป มีให้เลือก3แบบ คือ Spicy ซุปเห็ด(น้ำข้นสีขาว) และซุปกระดูก(น้ำใส) เราก็หนีความ Spicy ของจีนแน่นอน เพราะเผ็ดของชาวจีนคือ ทำให้ลิ้นชาา ต่่างจากบ้านเราที่ความเผ็ดทำให้ร้อน บอกตรงๆเผ็ดลิ้นชาแล้วสำหรับตัวผมกินไรไม่อร่อยละ เข็ด


จุดเด่นถัดมาของ ร้านนี้เลยคือน้ำจิ้มครับ ให้เราสามารถปรุงเองได้ตามใจชอบเลย โดยเขาจะทำเป็นบาร์ไว้ให้เราไปตักได้เองเลือกได้เลยว่าจะใส่อะไรบ้าง เช่น ซี่อิ๊ว จิกโช่ว พริก กระเทียม มะนาว ซอสจีนหลายอย่าง ที่เห็นเขาตักกันมาที่สุดเลยก็ซอสถั่ว น่าจะเป็นน้ำจิ้มยอดฮิตของชาวจีน แต่สำหรับผมแล้วเลือกซีอิ้วใส่กระเทียมพริกมะนาวละกัน ลองแล้วมันไม่ถูกปาก

ส่วนเมนูที่ลองหม้อ ก็คล้ายกับบ้านเราครับ ซีฟู้ด ก็พวกปลาหมึก ปลา หอยเชล ส่วนเนื้อจะมีแบบเดียวครับ เป็นเนื้อไสล์ด ดูเบสิึ แต่บอกตรงๆอร่อยมาก ไม่เหนียวเลย แล้วก็พวกเนื้อหมู เครื่องใน ต่างๆครับ และอีกอย่างที่ขากไม่ได้ ตือเส้นสด คือเขาจะเอาแป้งก้อนๆ มาเหวี่ยงจนเป๋็นเส้นยาวๆ ให้เราชมกันแล้วใส่หม้อต้มให้เราทันที อร่อยมากๆเหนียวหนึบๆ ถือว่า อาหารมื้อนี้ถูกปากคนไทยแน่นอน



เมื่อพวกเราทานอาหารเย็นกันเสร็จก็พร้อมออกเดินลาดตระเวนกันละ มีอะไรรอบมั่ง ที่พักของเราอยู่ใกล้ๆกับ ตลาดหวังฟูจิ่ง ถือว่าเป็นถนนคนเดิน แหล่งซ้อปปิ้งเมืองปักกิ่ง เลยทีเดียว สองข้างทางมีร้านค้าและห้างสรรพสินค้าเรียงร้ายเป็นแถว และยังมีตรอกซอกซอยที่ขายของแตกต่างกันไปนานา เเรียกได้ว่าได้เสียตังกันอีกแล้ว แต่ของที่ตลาด หวังฟูจิง ผมว่าของที่ขายยังแพงอยู่ ไม่แนะนำำอย่าซื้อ เดินดูเล่นๆ เอาบรรยากาศดีกว่า พวกเราก็เดินเตร็ดแตร่ จนเจอซอยๆนึง เรียกว่า Extreme Food มาก เพราะเมื่อเข้าไปตลอดซอยมีแต่ของกินทั้งนั้น ซึ่งของกินนั้นมันก็ไม่ธรรมดาแน่ ปล.ผมไม่กล้าถ่ายรูปเดี๋ยวเจ้าของร้านด่าเอาไม่ได้ซื้อมากิน

















ยกตัวอย่างอาหารที่ขายในซอยนี้ เดินเข้ามาพบเลย ปลาดาวเป็นตัวเสียบใหม่พร้อมรับประทาน ข้างๆกันเป็นแมงป่องตัวเล็กๆเสียบประมาณ5ตัวขายังกระดุกกระดิกอยู่ ถัดมาก็เป็นตะขาบเสียไม้ยืดตรงน่ากลัวแท้ และยังมีงู นก  ตลอดทั้งซอย เลิกได้ว่าของแปลกทั้งซอย แต่เมนูปกติก็มีอยู่บ้างนะครับ เช่นปลาหมึกย่าง ซาลาเปา ไอติม เกาลัด ไข่ปลาหมึก



ตลาด หวังฟูจิง ในซอยย่อย จะเริ่มทยอยปิดร้านกันประมาณ 3-4 ทุ่ม ส่วนร้านริมถนนก็จะปิดดึกหน่อย พวกเราเดินไปสังเกตเห็นร้านเริ่มปิดและเริ่มเหมื่อย หาที่นั่ง เจอร้านริมถนนบรรยากาศดี จัดไปเลยเบียร์คนละขวด ท้าความหนาวเลย อุณหภูมิตอนนั้น 3-5 องศาได้ แถมลมแรงอีก  เรียกได้ว่าได้อารมสุดชิวเกินคำบรรยาย เมื่อเราดื่มจนหมดก็ถึงเวลากลับโรงแรมนอนพักผ่อน เอาแรงกับวันพรุ่งนี้ต่อ จบแล้วววกับวันแรกกับ จีนแผ่นดินใหญ่ วันแรก






Lost in Beijing ตะลุยจีน-ปักกิ่ง แผ่นดินใหญ่ วันที่2 พระราชวังต้องห้าม (Forbidden City)

10:59 Posted by Lotuzkai No comments
วันที่2 กับการตะลุยเมืองจีน ตื่นเช้าพร้อมอากาศที่ดีกว่าเมื่อวานอย่างกับมาคนละเมือง เพราะว่า หมอกขาว(Pollution) ได้หายเกลี้ยงไปอย่างไม่มีล่องลอย เลยถามไกด์ว่านี่คือปกติใช่มั้ย ไกด์ก็ตอบเราว่า เป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะลมเมื่อคืนพัดออกจากเมืองไปหมด พวกเราทานอาหารกันที่โรงแรมและขึ้นรถเพื่อไปสถานที่ตั้งเป้าวันนี้คือ พระราชวังต้องห้าม (Forbidden City) ตั้งอยู่ตรงกลางเมืองปักกิ่งเลย ทำให้การเดินทางนั้นแปปเดียว


เกร็ดความรู้สักหน่อย :เป็นพระราชวังหลวงมาตั้งแต่สมัยกลางราชวงศ์หมิงจนถึงราชวงศ์ชิง ครอบคลุมพื้นที่ 720,000 ตารางเมตร อาคาร 800 หลัง มีห้องทั้งหมด 9,999 ห้อง และมีพระที่นั่ง 75 องค์ หอพระสมุด ห้องหับต่างๆอีกมาก รวมทั้งยังมีสวน ลานกว้าง ทางเดินเชื่อมกันโดยตลอด มีคูและกำแพงที่สูงถึง 11 เมตร ล้อมรอบ ใช้ระยะก่อสร้างประมาณ 14 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 1949 จนถึง พ.ศ. 1963  เมื่อเรามาถึงก็พบกับปริมาณผู้คนที่มหาศาลมาก



ไกด์ได้ทำการซ้ือ ตั๋วให้เรา และพาเราเข้าไปข้างใน สิ่งแรกที่ได้เห็นคือ ความใหญ่โตของพระราชวัง ที่แบ่งเป็นชั้นๆเข้าไปตามประตู ซึ่งแต่ละชั้นก็จะมีกำแพงขนาดใหญ่ล้อมรอบ และเมื่อจนถึงจุดกลางของพระราชวังก็พบกับความยิ่งใหญ่และความสวยงามในรูปแบบสถาปัตยกรรมของจีน ที่สร้างมาได้ยิ่งใหญ่อลังการมากและดูถึงความแข็งแรงทนทานมาก นึกถึงว่าใครจะมาบุกทีนี่ลำบากแท้กว่าจะเข่้าถึงชั้นในพระราชวังได้ กำแพงทั้งสูงทั้งใหญ่ ทั้งยาว อีกที่ไกด์ยังบอกพวกเราว่าส่วนในของพระราชวังนี้ผู้ชายปกติจะไม่สามารถเข้ามาได้ ต้องเป็นผู้หญิงหรือ ผู้ชายที่ตัดอวัยเพศทิ้งแล้วเท่านั้น



พระราชาวังตรงกลางที่ใหญ่ที่สุดเป็นที่ประทับของฮ้องเต้ มีความสวยงามแต่มืดทำให้ไม่สามารถถ่ายรูปได้และคนนี่เบียดเสียดกว่าจะเข้าไปถึงต้องฝ่าฝันกับมนุษย์ลุงและมนุษย์ป้าชาวจีนอย่างยากเย็น พวกเราเดินตระเวณ แต่ละชั้นๆไปชมความสวยงามและยิ่งใหญ่ของพระราชวังต้องห้าม



ก่อนจะถึงด้านหลังของพระราชวังจะมีสวนหินและสวนต้นไม้ที่มีรูปร่างลักษณะต่างๆที่จัดไว้เป็นสวนอย่างสวยงามและร่มเย็นมาก และจุดสำคัญคือตรงกลางจะเป็นต้นไม้2ต้นซึ่งเอนเข้าหากัน โดยคู่รักมักจะเข้าไปตรงกลางนั้นเพื่อถ่ายรูปคู่กันอย่างมาก



ซึ่งถ้ามีเวลามากพอไกด์แนะนำให้เดิน จนทะลุถึงด้านหลังของพระราชวัง ที่จะมีภูเขาสามารถข้ามถนนและขึ้นไปถ่ายรูปรวมของพระราชวังได้อีกมุมนึงที่เห็นพระราชวังต้องห้ามได้ทั้งหมดจากมุมสูง แต่พอดีเวลานั้นมีไม่พอ และหมดแรงกันเลยไม่ได้ขึ้นไปถ่ายด้านบน




พวกเราได้ใช่เวลาเดินตระเวณภายในพระราชวังต้องห้าม (Forbidden City) จนถึงเกือบเที่ยง ทำไมเวลามันผ่านไปไวจังว้าา ครึ่งวันได้แค่ที่เดียวเอง ก็มุ่งหน้าไปยังข้าวเที่ยงของเราเมื่อมาถึงปักกิ่งเราต้องมากินเป็ดปักกิ่งซิ เราก็จักแจงบอกไกด์เลยอยากกินเปิดปักกิ่งมาก ซึ่งที่นู้นเขาจะเรียกกันว่า Roast Duck มุ่งหน้าไปยังภัตราคารที่มีชื่อเสียงทันที.....  ขอจบ วันที่2 ช่วงแรกแค่นี้ก่อนนะคราบบบ


วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Lost in Beijing ตะลุยจีน-ปักกิ่ง แผ่นดินใหญ่ วันแรก Part 2

21:17 Posted by Lotuzkai No comments
หลังจากที่เราได้ออกมาจากสนามบิน และขึ้นรถตู้ที่มารับเพื่อเข้าสู่ตัวเมืองระยะทางประมาณสุวรรณภูมิบ้านเรา เนื่องจากเครื่องบิน Delay ช้ากว่ากำหนดการมากและสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยเท่าไรนักซึ่งเราทำ การถามไกด์ว่าไอ้ควันขาวๆนี่คือหมอกใช่มั้ย ไกด์ส่ายหัวทันทีพร้อมยื่นหน้ากากมาให้พร้อมคำตอบที่ว่า Pollution(มลพิษ)ซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานแลัเป็นหนักวันนี้นี่เอง


 โอ้วมันทำให้แผนการท่องเที่ยวต้องปรับเปลี่ยนมต้องวางแผนกันใหม่ แต่ก่อนอื่นจุดมุ่งหมายแรกของเราคือ ร้านอาหาร เพราะแต่ละคนหิวโซมากตั้งแต่ลงเครื่องมา ตอนนั้นเวลาก็เกือบเที่ยงแล้วใช้เวลาเดินทางเข้าเมืองถึงร้านอาหารประมาณ ประมาณเที่ยงครึ่ง ร้านที่เราไปชื่อร้าน South Beaty


ฟังดูชื่อร้านเหมือนร้าเสริมสวยแต่ภายในนั้น ตรงข้ามกับที่คิดเลยร้านหรูหรามาก เป็นร้านอาหารจีนแนวประยุกต์ผสมผสานกันไป ซึ่งเป็นมื้อแรกที่ผมจะได้ลิ้มรสชาติอาหารจีนครั้งแรกในชีวิต 5555


เข้าร้านมาไกด์ก็จัดการสั่งอาหารให้เรียบร้อย เพราะพวกเราเปิดเมนูปุ๊ปก็พร้อมใจกันส่ายหัวทันที่ อ่านไม่ออกครับ ดูรูปได้อย่างเดียวก็เลยให้ไกด์จัดการให้ดีกว่า

เมนูนี้เป็นผักอะไรไม่รู้ม้วนๆ ราดน้ำคล้ายๆน้ำมันหอยแต่รสชาติกลมกล่อมดี

ส่วนอันนี้เป็นเหมือนเครื่องในหมูกับเห็ดจุ่มในน้ำมันงา 

อันนี้เป็นไก่ผัดเม็ดมะม่วงบ้านเราแต่มีรสชาติเผ็ดแบบชาวจีนเข้ามา

 ถัดมาเมนูสุดคลาสสิค ไข่เจียวครับแต่ที่นี่เขาจะทำให้เละๆหน่อยผสมกับมะเขือเทศ

สุดท้ายเมนูไฮไลท์เป็นซีโครงหมูราดซอสกินพร้อมกับซาลาเปาหมั่นโถว

เรียบร้อยไปกับกินข้าวมื้อแรกที่ประเทศจีนถือว่ารสชาติโอเคครับกินได้ อิ่มหนำสำราญกันไป ต่อไปคือเราไปไหนกันต่อดีซึ่งกำหนดการเรานั้นตอนแรกจะบุกกำแพงเมืองจียวันนี้เลยแต่ปรากฏว่า สภาพอากาศแบบนี้ขาวโพลน ขึ้นกำแพงเมืองจียนไปไม่เห็นไรแน่ๆ ไกด์ก็เลยแนะนำว่าไป Summer Palace (พระราชวังฤดูร้อน)แทน ก็รีบมุ่งหน้าไปทันที


เมื่อเข้าข้างในมาแล้วก็พบกับความใหญ่โตของทะเลสาบและผู้คนมากมาย

  ทางไปยังพระราชาวังมี2ทางให้เลือกคือเดินกับนั่งเรือไปไกด์บอกถ้าเดินก็ประมาณ 3โล เราเลยพร้อมใจกันตอบนั่งเรือ!!

ระหว่างนั่งเรื่อก็ได้วิวสวยๆมา และไกด์บอกว่าถ้ามาฤดูหนาว ทะเลสาบนี้จะกลายเป็นน้ำแข็งสามารถเดินได้เลย

 เมื่อลงจากเรือก็ต้องเดินไปนิดหน่อยเพื่อเข้าพระราชวัง

 ประตูทางเข้าใหญ่โต

เข้ามาก็พบว่าหนทางยังอีกไกลและสูงยิ่งนัก

เมื่อขึ้นมาจนสุดก็พบกับวิวแบบนี้ น่าเสียดายถ้าอากาศเป็นใจคงได้เห็นภาพที่สวยกว่านี้แน่ๆ


 ภาพบรรยากาศด้านบนที่ถ่ายมาซึ่งภายในจะมี เจ้าแม่กวนอิมแกะสละด้วยไม้(ห้ามถ่ายรูป)


เมื่อเดินสำรวจข้างบนจนครบก็ทำเการเดินลงจากข้างบนกลับมายังจุดที่เรือพามาจอด เพื่อไปยังจุดถัดไปกันต่อ ปล.แค่นี้ก็แทบหมดแรงละ

ซึ่งที่เรามาถัดไปนั้นก็คือ เรือหินอ่อนทั้งลำที่สร้างอยู่ใกล้ๆกับที่เราลงเรือมา ตอนแรกก็สงสัยหินอ่อนมันลอยน้ำได้ไง สังเกตุดีๆ มันสร้างขึ้นมาจากในน้ำเลยนี่หว่าโดนหลอก แต่ก็สวยงามมาก




ระหว่างรอเรือมารับกลับก็ถ่ายรูปบริเวณรอบๆสวยงามแปลกตาไม่เคยเห็นมาก่อน 

สุดท้ายเรื่อก็มารับพวกเรากลับไปยังจุดเริ่มต้นที่มาเพื่อกลับไปยังทางเข้า เป็นอันว่าสถานที่แรกพระราชวังฤดูร้อน Summer Palace ในการมาตะลุงปักกิ่งวันนี้ก็จบลงด้วยอย่างดีถึงแม้ว่าสภาพบรรยากาศไม่ค่อยเป็นใจนักภาพจิงออกมาไม่สวยตามที่ต้องการ แต่ก็เป็นวันแรกที่ประทับใจที่เช่นกัน

ประตูทางออก

หลังจากนี้พวกเราก็ได้ทำการกลับไปยังโรงแรมที่พักเพราะเนื่องจากยังไม่ได้เช็คอินเลย ได้แค่จองไว้ 5 ห้องเท่านั้นเอง ขอเป็นอันว่าจบ Part 2 ไว้เท่านี้ก่อน แต่วันแรกยังไม่จบนะ ยังมีท่องเที่ยวยามราตรีอีกเป็น Part 3