วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Lost in Beijing ตะลุยจีน-ปักกิ่ง แผ่นดินใหญ่ วันแรก Part 3 ตลาด หวังฟูจิง

11:13 Posted by Lotuzkai No comments
มาถึง Part สุดท้ายของวันแรกนะครับ วันแรกคงเยอะหน่อยเพราะเกิดเหตุการณ์อะไรหลายอย่าง และเที่ยวมันเต็มที่จนลืมเหนื่อนกันไปเลย เมื่อเราได้เก็บของที่โรงแรมเรียบร้อย ก็ทำการ หาข้าวเย็น ซึ่งมื้อเย็นวันแรกก็ไป Hot Pot แบบชาวจีน ครับ พอดีรูปได้ถ่ายมานิดเดียวเพราะ ความหิวรวมทั้งคนเยอะมากๆทำให้ถ่ายรูปไม่ได้เท่าไร


จุดเด่นของร้านนี้คือน้ำซุป มีให้เลือก3แบบ คือ Spicy ซุปเห็ด(น้ำข้นสีขาว) และซุปกระดูก(น้ำใส) เราก็หนีความ Spicy ของจีนแน่นอน เพราะเผ็ดของชาวจีนคือ ทำให้ลิ้นชาา ต่่างจากบ้านเราที่ความเผ็ดทำให้ร้อน บอกตรงๆเผ็ดลิ้นชาแล้วสำหรับตัวผมกินไรไม่อร่อยละ เข็ด


จุดเด่นถัดมาของ ร้านนี้เลยคือน้ำจิ้มครับ ให้เราสามารถปรุงเองได้ตามใจชอบเลย โดยเขาจะทำเป็นบาร์ไว้ให้เราไปตักได้เองเลือกได้เลยว่าจะใส่อะไรบ้าง เช่น ซี่อิ๊ว จิกโช่ว พริก กระเทียม มะนาว ซอสจีนหลายอย่าง ที่เห็นเขาตักกันมาที่สุดเลยก็ซอสถั่ว น่าจะเป็นน้ำจิ้มยอดฮิตของชาวจีน แต่สำหรับผมแล้วเลือกซีอิ้วใส่กระเทียมพริกมะนาวละกัน ลองแล้วมันไม่ถูกปาก

ส่วนเมนูที่ลองหม้อ ก็คล้ายกับบ้านเราครับ ซีฟู้ด ก็พวกปลาหมึก ปลา หอยเชล ส่วนเนื้อจะมีแบบเดียวครับ เป็นเนื้อไสล์ด ดูเบสิึ แต่บอกตรงๆอร่อยมาก ไม่เหนียวเลย แล้วก็พวกเนื้อหมู เครื่องใน ต่างๆครับ และอีกอย่างที่ขากไม่ได้ ตือเส้นสด คือเขาจะเอาแป้งก้อนๆ มาเหวี่ยงจนเป๋็นเส้นยาวๆ ให้เราชมกันแล้วใส่หม้อต้มให้เราทันที อร่อยมากๆเหนียวหนึบๆ ถือว่า อาหารมื้อนี้ถูกปากคนไทยแน่นอน



เมื่อพวกเราทานอาหารเย็นกันเสร็จก็พร้อมออกเดินลาดตระเวนกันละ มีอะไรรอบมั่ง ที่พักของเราอยู่ใกล้ๆกับ ตลาดหวังฟูจิ่ง ถือว่าเป็นถนนคนเดิน แหล่งซ้อปปิ้งเมืองปักกิ่ง เลยทีเดียว สองข้างทางมีร้านค้าและห้างสรรพสินค้าเรียงร้ายเป็นแถว และยังมีตรอกซอกซอยที่ขายของแตกต่างกันไปนานา เเรียกได้ว่าได้เสียตังกันอีกแล้ว แต่ของที่ตลาด หวังฟูจิง ผมว่าของที่ขายยังแพงอยู่ ไม่แนะนำำอย่าซื้อ เดินดูเล่นๆ เอาบรรยากาศดีกว่า พวกเราก็เดินเตร็ดแตร่ จนเจอซอยๆนึง เรียกว่า Extreme Food มาก เพราะเมื่อเข้าไปตลอดซอยมีแต่ของกินทั้งนั้น ซึ่งของกินนั้นมันก็ไม่ธรรมดาแน่ ปล.ผมไม่กล้าถ่ายรูปเดี๋ยวเจ้าของร้านด่าเอาไม่ได้ซื้อมากิน

















ยกตัวอย่างอาหารที่ขายในซอยนี้ เดินเข้ามาพบเลย ปลาดาวเป็นตัวเสียบใหม่พร้อมรับประทาน ข้างๆกันเป็นแมงป่องตัวเล็กๆเสียบประมาณ5ตัวขายังกระดุกกระดิกอยู่ ถัดมาก็เป็นตะขาบเสียไม้ยืดตรงน่ากลัวแท้ และยังมีงู นก  ตลอดทั้งซอย เลิกได้ว่าของแปลกทั้งซอย แต่เมนูปกติก็มีอยู่บ้างนะครับ เช่นปลาหมึกย่าง ซาลาเปา ไอติม เกาลัด ไข่ปลาหมึก



ตลาด หวังฟูจิง ในซอยย่อย จะเริ่มทยอยปิดร้านกันประมาณ 3-4 ทุ่ม ส่วนร้านริมถนนก็จะปิดดึกหน่อย พวกเราเดินไปสังเกตเห็นร้านเริ่มปิดและเริ่มเหมื่อย หาที่นั่ง เจอร้านริมถนนบรรยากาศดี จัดไปเลยเบียร์คนละขวด ท้าความหนาวเลย อุณหภูมิตอนนั้น 3-5 องศาได้ แถมลมแรงอีก  เรียกได้ว่าได้อารมสุดชิวเกินคำบรรยาย เมื่อเราดื่มจนหมดก็ถึงเวลากลับโรงแรมนอนพักผ่อน เอาแรงกับวันพรุ่งนี้ต่อ จบแล้วววกับวันแรกกับ จีนแผ่นดินใหญ่ วันแรก






Lost in Beijing ตะลุยจีน-ปักกิ่ง แผ่นดินใหญ่ วันที่2 พระราชวังต้องห้าม (Forbidden City)

10:59 Posted by Lotuzkai No comments
วันที่2 กับการตะลุยเมืองจีน ตื่นเช้าพร้อมอากาศที่ดีกว่าเมื่อวานอย่างกับมาคนละเมือง เพราะว่า หมอกขาว(Pollution) ได้หายเกลี้ยงไปอย่างไม่มีล่องลอย เลยถามไกด์ว่านี่คือปกติใช่มั้ย ไกด์ก็ตอบเราว่า เป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะลมเมื่อคืนพัดออกจากเมืองไปหมด พวกเราทานอาหารกันที่โรงแรมและขึ้นรถเพื่อไปสถานที่ตั้งเป้าวันนี้คือ พระราชวังต้องห้าม (Forbidden City) ตั้งอยู่ตรงกลางเมืองปักกิ่งเลย ทำให้การเดินทางนั้นแปปเดียว


เกร็ดความรู้สักหน่อย :เป็นพระราชวังหลวงมาตั้งแต่สมัยกลางราชวงศ์หมิงจนถึงราชวงศ์ชิง ครอบคลุมพื้นที่ 720,000 ตารางเมตร อาคาร 800 หลัง มีห้องทั้งหมด 9,999 ห้อง และมีพระที่นั่ง 75 องค์ หอพระสมุด ห้องหับต่างๆอีกมาก รวมทั้งยังมีสวน ลานกว้าง ทางเดินเชื่อมกันโดยตลอด มีคูและกำแพงที่สูงถึง 11 เมตร ล้อมรอบ ใช้ระยะก่อสร้างประมาณ 14 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 1949 จนถึง พ.ศ. 1963  เมื่อเรามาถึงก็พบกับปริมาณผู้คนที่มหาศาลมาก



ไกด์ได้ทำการซ้ือ ตั๋วให้เรา และพาเราเข้าไปข้างใน สิ่งแรกที่ได้เห็นคือ ความใหญ่โตของพระราชวัง ที่แบ่งเป็นชั้นๆเข้าไปตามประตู ซึ่งแต่ละชั้นก็จะมีกำแพงขนาดใหญ่ล้อมรอบ และเมื่อจนถึงจุดกลางของพระราชวังก็พบกับความยิ่งใหญ่และความสวยงามในรูปแบบสถาปัตยกรรมของจีน ที่สร้างมาได้ยิ่งใหญ่อลังการมากและดูถึงความแข็งแรงทนทานมาก นึกถึงว่าใครจะมาบุกทีนี่ลำบากแท้กว่าจะเข่้าถึงชั้นในพระราชวังได้ กำแพงทั้งสูงทั้งใหญ่ ทั้งยาว อีกที่ไกด์ยังบอกพวกเราว่าส่วนในของพระราชวังนี้ผู้ชายปกติจะไม่สามารถเข้ามาได้ ต้องเป็นผู้หญิงหรือ ผู้ชายที่ตัดอวัยเพศทิ้งแล้วเท่านั้น



พระราชาวังตรงกลางที่ใหญ่ที่สุดเป็นที่ประทับของฮ้องเต้ มีความสวยงามแต่มืดทำให้ไม่สามารถถ่ายรูปได้และคนนี่เบียดเสียดกว่าจะเข้าไปถึงต้องฝ่าฝันกับมนุษย์ลุงและมนุษย์ป้าชาวจีนอย่างยากเย็น พวกเราเดินตระเวณ แต่ละชั้นๆไปชมความสวยงามและยิ่งใหญ่ของพระราชวังต้องห้าม



ก่อนจะถึงด้านหลังของพระราชวังจะมีสวนหินและสวนต้นไม้ที่มีรูปร่างลักษณะต่างๆที่จัดไว้เป็นสวนอย่างสวยงามและร่มเย็นมาก และจุดสำคัญคือตรงกลางจะเป็นต้นไม้2ต้นซึ่งเอนเข้าหากัน โดยคู่รักมักจะเข้าไปตรงกลางนั้นเพื่อถ่ายรูปคู่กันอย่างมาก



ซึ่งถ้ามีเวลามากพอไกด์แนะนำให้เดิน จนทะลุถึงด้านหลังของพระราชวัง ที่จะมีภูเขาสามารถข้ามถนนและขึ้นไปถ่ายรูปรวมของพระราชวังได้อีกมุมนึงที่เห็นพระราชวังต้องห้ามได้ทั้งหมดจากมุมสูง แต่พอดีเวลานั้นมีไม่พอ และหมดแรงกันเลยไม่ได้ขึ้นไปถ่ายด้านบน




พวกเราได้ใช่เวลาเดินตระเวณภายในพระราชวังต้องห้าม (Forbidden City) จนถึงเกือบเที่ยง ทำไมเวลามันผ่านไปไวจังว้าา ครึ่งวันได้แค่ที่เดียวเอง ก็มุ่งหน้าไปยังข้าวเที่ยงของเราเมื่อมาถึงปักกิ่งเราต้องมากินเป็ดปักกิ่งซิ เราก็จักแจงบอกไกด์เลยอยากกินเปิดปักกิ่งมาก ซึ่งที่นู้นเขาจะเรียกกันว่า Roast Duck มุ่งหน้าไปยังภัตราคารที่มีชื่อเสียงทันที.....  ขอจบ วันที่2 ช่วงแรกแค่นี้ก่อนนะคราบบบ